วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สถานที่ท่องเที่ยวใน อิยิปต์

อะบูซิมเบล 
Abu Simbel 



                        วิหารอาบูซิมเบล ( Abu Simbel Temple ) เป็นผลงานของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ( Ramesess II ) ในราชวงศ์ที่ 19 มีอายุนับถึงปัจจุบันกว่า 3,299 ปี ( 1290-1224 B.C. )ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลสาบนาสเซอร์ทางตอนใต้สุดของประเทศ ติดชายแดนประเทศซูดาน รามเสสที่ 2 มีเหตุผลในการสร้างเทวสถานขึ้นบริเวณนี้ เพราะพระองค์ต้องการแสดงอำนาจเหนือ อาณาจักรคูช ( Kush ) ของชาวนูเบียน ซึ่งมีอิทธิพลมากทางอียิปต์ตอนบน Upper Egypt และต้องการให้ผู้คนได้เห็นว่า พระองค์มีบารมีเพราะได้รับการปกป้องจากสุริยเทพที่ผู้คนกราบไหว้ วิหารแห่งนี้จึงสร้างถวายแด่เทพเจ้ารา-ฮอรัคตี้ ( Ra-Jprakhty ) ดังรูปแกะสลักเหนือทางเข้าวิหารแห่งรามเสส และอีกประการเพื่อแสดงความรักต่อองค์มเหสีผู้เป็นราชินี จึงได้สร้างวิหารอีกหลังแก่พระนางเนฟเฟอร์ตารี ( Nefertari ) เพื่อถวายสักการะแด่เทวีฮาเธอร์ ( Hathor ) พระมารดาแห่งจักรวาลอันเป็นสุริยเทวี


 พีระมิดกิซ่าและสฟิงซ์ 
Ahramat Al-Jizah and Abu el-Hol
 (Pyramids at Giza and the Sphinx) 

                           พีระมิดที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกได้แก่ พีระมิดเห่งเมืองกีซ่า (เมืองกีเซห์) ซึ่งเป็นที่บรรจุพระบรมศพของกษัตริย์คีออปส์(CHEOPS) หรือ คูฟู ซึ่งพระองค์เป็นผู้สร้างขึ้นเองเมื่อก่อนคริสตกาลประมาณ 25,800 ปี นับอายุจนถึงปัจจุบันก็กว่า 4,500 ปี ถือเป็นพีระมิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ที่กลางทะเลทราย พีระมิดแห่งนี้เดิมสูง 481.4 ฟุต แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 450 ฟุต ฐานกว้าง 768 ฟุต ใช้หินทรายตัดเป็นแท่งรูปสามเหลี่ยมหนักประมาณก้อนละ 2 ตันครึ่ง บางก้อนหนักถึง 16 ตัน โดยการนำเอามาซ้อนกันขึ้นไปเป็นทรงกรวย เชื่อกันว่าพีระมิดองค์นี้จะทนแดดทนฝนอยู่ได้อีกนานกว่า 5,000 ปี และเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของยุคโบราณสิ่งเดียวเท่านั้นที่มีอายุยืนยาวมาจนถึงปัจจุบัน 

                          สฟิงซ์ยักษ์กีซ่า ถือเป็นสฟิงซ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แกะสลักจากหินก้อนขนาดมหึมาเพียงก้อนเดียว โดยมีความยาวของลำตัวที่ 73.5 เมตร สูง 21 เมตรใบหน้ามีความยาว 5 เมตร จมูกยาว 2 เมตร ส่วนเคราไม่สามารถระบุตัวเลขของขนาดได้ ปัจจุบันนี้เคราและจมูกของสฟิงซ์ยักษ์ตัวนี้ ถูกแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ BRITISH MUSEUM กรุงลอนดอน ส่วนลำตัวของสฟิงซ์ มีรอยผุกร่อนอย่างชัดเจนทั้งจากสภาพภูมิอากาศอันเลวร้ายในทะเลทรายและพายุทรายพัดกระหน่ำทับถมอยู่เป็นประจำ และเนื่องจากถูกแม่น้ำไนล์ ซึ่งเป็นฤดูน้ำหลากในอดีตท่วมมาถึงครึ่งตัว กัดกร่อนให้บริเวณฐานเสียหายและเหลือร่องรอยการแช่น้ำ ทำให้ปัจจุบันนี้สฟิงซ์ยักษ์อยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์เท่าไรนัก แต่ก็สามารถมองภาพความยิ่งใหญ่ในอดีตได้จากสิ่งที่ยังเหลืออยู่


หุบผากษัตริย์และหุบผาราชินี 
Biban el-Melouk and Biban el-Harem 
(Valley of the Kings and Valley of the Queens)
                          หุบผากษัตริย์ (Valley of the King) ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตก ของแม่น้ำไนล์ โดยหุบเขานี้เป็นสุสานของฟาร์โรห์ตั้งแต่ สมัย Tuhtmose หลบซ่อนอยู่ในเทือกเขา Theban มีทั้งบรรพกษัตริย์ เหล่าราชวงศ์และขุนนางทั้งหลาย ถือเป็นโบราณสถานที่ สำคัญแห่งหนึ่งของอียิปต์ที่มีการ ขุดค้นทางโบราณคดีเกือบศตวรรษ ปัจจุบัน สุสานนี้มี อายุกว่า 3,000 ปี การตกแต่งภายใน วิหารเต็มไปด้วยภาพจิตรกรรมที่งดงาม และสีของภาพยังคงดูสดใส มีชีวิตชีวาอยู่ ณ ปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีสุสานของฟาโรห์ตุตันคาแมน ซึ่งสมบัติ ทั้งหมดที่ค้นพบ ถูกแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ไคโร และสุสานของ พระนางฮัตเซบสุด ฟาร์โรห์หญิงองค์เดียวของอียิปต์ หรือราชินีหนวด อนุสรณ์แห่งนี้สร้างขนาน ไปกับเทือกเขา และระหว่าง ทางก็จะมีรูปสลักหินลอยตัวขนาดใหญ่ของพระเจ้าอเมนโนฟิสที่ 3 ซึ่งได้ ตำนานเล่าเรื่องประหลาดของรูปสลักหินนี้ไปไกล ถึงกรีซ
                         หุบผาราชินีอยู่ใกล้ ๆ กับหุบผากษัตริย์ ถ้ายืนริมฝั่งแม่น้ำไนล์แล้วหันหน้าไปทางทิศตะวันตกสู่ทิวเขาธีบัน ตรงกับหุบผากษัตริย์ หุบผาราชินีก็อยู่ทางซ้ายมือหรือทางเหนือห่างราว 1.50 กม. เท่านั้นเอง หุบผา   พระราชินี (Valley of The Queen) มีชื่อเป็นภาษาไอยคุปต์ว่า ไบบาน เอล ฮาริม (Biban El Harim) เป็นที่ซ่อนของสุสานมากมายราว 80 สุสาน มีอายุราว 1,300 - 1,100 ปีก่อน ค.ศ. นั่นคือ อยู่ในสมัยราชวงศ์ที่ 19 และ 20 ตามประวัติก็กล่าวว่าในชั้นแรกมีแต่เพียงการสร้างที่บูชาดวงวิญญาณขึ้นใช้เป็นที่สวดมนต์อุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้ตาย การที่ไม่ทำพิธีที่หน้าสุสานในหุบผากษัตริย์ก็เพราะกลัวจะมีผู้ล่วงรู้ว่าสุสานอยู่ ณ ที่ใดนั่นเองครับ คงนึกว่าขโมยนั้นโง่เสียเต็มประดา คงจะไม่รู้ถ้าย้ายมาทำพิธีที่สุสานจำลอง ณ ที่หุบผานี้
วิหารพระนางฮัตเช็ปสุต 
Deir el-Bahri ( Hatshepsut’s Temple )




 
                            วิหารพระนางฮัตเซ็ปสุต (1498-1483 ปีก่อน ค.ศ.) ฟาโรห์หญิงเดียวแห่งอียิปต์โบราณหรือรู้จักในฉายา "ราชินีหนวด" วิหารที่พระนางสร้างไว้หวังให้เป็นที่พักหลังสุดท้ายแห่งชีวิตนี้ อายุกว่า 3,500 ปี  ออกแบบโดยสถาปนิกคู่ใจ คือ เซเนมุท


 พิพิธภัณฑ์อียิปต์ 
El Mathas El Massry 
( Egyptian Antiquities Museum )



                              พิพิธภัณฑ์ ของกรุงไคโร นับว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ของโลกที่เก่าแก่ที่สุดมานานและมีชื่อเสียง เนื่องจากเป็นสถานที่เก็บรักษาวัตถุโบราณที่ถูกค้นพบจากที่ต่างๆ จากหลายยุคสมัย พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้น  โดยท่านเมเรียต ออกัสท์ นักเชี่ยวชาญวัตถุโบราณ ชาวฝรั่งเศษ เริ่มเปิดขึ้นวันที่ 15 เดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ 1902
                              จาก ประวัติศาสตร์อียิปต์ได้กล่าวว่า ในสมัยปี ค.ศ 1826 ได้มีการสร้างพิพิธภัณฑ์ชั่ว คราว ณ ริมฝั่งสระเอซเบก แต่กษัตริย์สมัยนั้นกลับ ไม่เห็นความสำคัญ นำวัตถุโบราณ มอบเป็นของกำนัลแก่นักบริหาร และข้าราชการชั้นสูงชาวยุโรป ทำให้วัตถุโบราณเหลือ น้อยลงมาก โดยเฉพาะในปีค.ศ. 1855 จักรพรรดิมิกส์มิเลียนชาวออสเตรีย ได้นำวัตถุ โบราณจากอียิปต์เป็นของกำนัลกลับประเทศ จากท่านเคเดวีย์อับบาสบาชา เมื่อครั้นมา เยือนอียิปต์ ทำให้ชาวอียิปต์ต่างเศร้าสลดใจอย่างมาก และปัจจุบัน วัตถุเหล่านั้นก็ยังอยู่ ณ กรุงเวียนนา เมืองหลวงของออสเตรีย


วิหารคาร์นัค 
Ipet-Isut (Karnak Temple) 
             
                        วิหารคาร์นัคเป็นโบราณสถานที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนมากเป็นอันดับ 2 รองจากพีระมิดแห่งกีซา มีชื่อเป็นภาษาอียิปต์ว่า Ipet-isut แต่ปัจจุบันเรียกชื่อตามหมู่บ้านคือ el-Karnak อยู่ห่างจากเมืองลักซอร์ไปทางเหนือเพียง 2.5 กิโลเมตร
                       วิหารคาร์นัคเริ่มก่อสร้างในสมัยฟาโรห์พระองค์ใดไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่คาดกันว่าเป็นกษัตริย์ในราชวงศ์ที่ 11 บางคนเชื่อว่าสร้างในสมัยฟาโรห์เซซอสตริสที่ 1 กษัตริย์องค์ที่ 2 แห่งราชวงศ์ที่ 12 หรือปี 1991 ก่อนคริสตกาล แต่วิหารคาร์นัคได้รับการบูรณะและก่อสร้างเพิ่มเติมในช่วงราชวงศ์ที่ 18-20 และมีการบูรณะต่อเนื่องสมัยที่โรมันเข้าครอบครองอียิปต์ การต่อเติมวิหารคาร์นัคทำให้พื้นที่ของวิหารกว้างขวางใหญ่โตจนกลายเป็นสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่รองจากพีระมิดแห่งกีซา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น